ประวัติ
แมวเปอร์เซีย
ประวัติความเป็นมาของแมวเปอร์เซียหิมาลายัน
ประวัติย่อ
ชาวเปอร์เซียได้รับการยอมรับและโด่งดังในฐานะผู้ขยาย พันธุ์แมวและได้เป็นผู้ตั้งรากฐานของการผสมพันธุ์แมวในยุคต้นๆ ซึ่งมีผลทำให้เกิดการพัฒนาของแมวหิมาลายันขึ้นมา วิวัฒนาการขั้นแรกๆของแมวเปอร์เซียเกิดขึ้นในที่ราบสูงเปอร์เซีย(ประเทศ อิหร่านและอิรักในปัจจุบัน) ซึ่งแมวที่มีขนยาวและนุ่มลื่นนี้ได้ถูกนำไปสู่ยุโรปโดยพวกฟินิเซียนและโรมัน ทำให้ชาวยุโรปต่างประทับใจกับมันมาก โดยเป็นเวลากว่าหลายปีแล้วที่แมวเปอร์เซียถูกขยายพันธุ์ไปเพื่อที่จะคงแมวขน ยาวนี้ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
ก้าวแรกของการพัฒนาแมวเปอร์เซีย หิมาลายัน นี้คือการผสมระหว่างแมวพันธุ์ไทยวิเชียรมาศกับแมวพันธุ์เปอร์เซีย ซึ่งต่อมาก็มีการขยายพันธุ์ลูกหลานเรื่อยๆเพื่อที่จะสร้างกลุ่มของแมวที่มี ขนยาวและมีลวดลายแบบ colorpoint-persian ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ถูกขยายพันธุ์กลับไปยังเปอร์เซียและทายาทของมันก็ถูกผสม ข้ามพันธุ์ หลายปีต่อมานักผสมพันธุ์ก็มีแมวที่มีลักษณะเฉพาะของแมวเปอร์เซียและมีสีแบบ colorpoint หลากสี เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก้าวต่อไปก็เริ่มขึ้นโดยมีการยอมรับสายพันธุ์แมวนี้จาก องค์กรจดทะเบียน
ในประเทศอังกฤษ นาย Brian Sterling-Webb ได้พัฒนาให้แมวขนยาว colorpoint ของเขามีความสมบูรณ์เรื่อยๆตลอดช่วงเวลา 10 ปี โดยในปี 1955 เขาติดต่อกับ Governing Council of the Cat Fancy (GCCF) และขอให้มีการยอมรับแมวขนยาวสายพันธุ์ใหม่นี้ ด้วยการที่เขาและนักขยายพันธุ์คนอื่นๆ ได้เตรียมพร้อมสำหรับการอธิบายและปกป้องงานที่เขาได้ทำการพัฒนาสีใหม่นี้ ขึ้นมา ทำให้แมวขนยาว colorpoint นี้ได้รับการอนุมัติข้อเสนอและถูกยอมรับเป็นสายพันธุ์หนึ่งในประเทศอังกฤษ
ในอเมริกาเหนือ นาง Goforth ได้ทำการเสนอให้มีการยอมรับสายพันธุ์นี้ในระหว่างการประชุมประจำปีของ CFA ใน Washington , DC เมื่อ 18 ธันวาคม 1957 โดยนาง Goforth ได้คัดค้านว่าถึงแม้ว่าลักษณะทั่วไปของแมวหิมาลายันนี้จะบ่งชี้ถึงลักษณะของ แมวเปอร์เซีย แต่มันก็ไม่ใช่แมวเปอร์เซียโดยแท้ มันเป็นแมวขนยาวที่ถูกผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้แมวเหล่านี้ได้รับการยอมรับและถูกจดทะเบียนขึ้นมาโดย CFA ซึ่งในขณะนั้นมีกฎในการยอมรับสายพันธุ์ใหม่ โดยที่ผู้ขยายพันธุ์ต้องแสดงให้เห็นถึงการขยายพันธุ์ของแมวหิมาลายัน นี้ 3 ช่วงยุค(Generation) เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการแช่งขันระดับ championship
ในทุกวันนี้ แมวหิมาลายันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของแมวหิมาลายันนั้นไม่ตรงตามมาตรฐานของสายพันธุ์ ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแมวเปอร์เซีย นักขยายพันธุ์หลายๆ คนได้หยุดการผสมพันธุ์กับแมวเปอร์เซียนสีล้วน แต่กลับผสมพันธุ์แมว colorpoint กับแมว colorpoint กันเอง และส่งผลให้การพัฒนาแมวหิมาลายันนั้นมีลักษณะไม่ค่อยตรงกับมาตรฐานของสาย พันธุ์เปอร์เซียและในหลายกรณีที่แมวหิมาลายัน กลายมาเป็นแมวขนยาว colorpoint ที่มีจมูกยาวแทน
ในช่วงปี 1970 ผู้เลี้ยงแมวหิมาลายันได้เริ่มที่จะประเมินถึงเป้าหมายที่พวกเค้ากำลัง พยายามจะทำให้สำเร็จ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังเอาจริงเอาจังกับการพัฒนาสายพันธุ์แมวให้ เป็นพันธุ์เปอร์เซียที่ดีกว่าเดิม พวกเขาเริ่มที่จะผสมแมวเปอร์เซียข้ามสายพันธุ์โดยใช้หลักการตามปกติ และนำลูกหลานมาใช้ในการขยายพันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีแมวขนยาว colorpoint ที่มีลักษณะเปอร์เซียที่ดีกว่าปรากฏ แมวเหล่านี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซียมากยิ่งขึ้น และในที่สุดมันก็สามารถที่จะแข่งขันกับแมวเปอร์เซียเพื่อขิงรางวัลชนะเลิศ ตามที่ปรารถนา
ดังนั้นจึงมีคำถามต่อมาว่า ถ้าแมวสายพันธุ์นี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซีย และเป็นที่สามารถแข่งขันกับแมวเปอร์เซีย แล้วทำไมพวกมันจึงต้องแข่งขันในฐานะสายพันธุ์อื่น หลายๆคนเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของการที่เราจะจัดแมวหิมาลายันเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย อย่างไรก็ตามยังมีคนบางกลุ่มที่ยังชอบในลักษณะของแมวหิมาลายันเก่าๆและแมว ของเขาไม่สามารถที่จะแข่งขันกับแมวอื่นๆในเวทีการแสดงได้ โดยมีบางส่วนในนี้ที่เริ่มจะเบนหนีจากการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานของแมวเปอร์ เซียซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานที่แมวหิมาลายันในยุคปี 60 เป็นแบบนั้น หากคุณชำเลืองแมวหิมาลายันในการแสดงโชว์แมวในปัจจุบันก็จะเห็นว่าเป้าหมาย ของพวกเขานั้นยังไม่สำเร็จเลย และในปี 1987 Persian Breed Council ได้มีการให้ลงคะแนนว่า “ควรหรือไม่ที่จะให้แมวหิมาลายันในปัจจุบันจัดเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย”
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ปากบนหางสี่เท้า โสตสอง
แปดแห่งดำดุจปอง กล่าวไว้
ศรีเนตรดั่งเรือนรอง นาคสวาดิ ไว้เอย
นามวิเชียรมาศไซร้ สอดพื้นขนขาว
"แมววิเชียรมาศ" เป็นแมวไทยชนิดแรกที่ชาวต่างชาติรู้จักและตั้งชื่อว่า "Siamese Cat" หรือ “แมวสยาม” เป็นแมวไทยต้นตระกูล ที่นำไปปรับปรุงพันธุ์ได้แมวไทยอีกหลายสายพันธุ์ แมววิเชียรมาศเป็นแมวไทยโบราณ ในสมุดข่อยยกย่องให้เป็นแมวให้ลาภ ใครเลี้ยงไว้จะได้เป็นขุนนาง ชื่อแมววิเชียรมาศ มีความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว"
ปัจจุบันคนไทย มักเข้าใจผิดเรียกว่า แมววิเชียรมาศ คือแมวชนิดเดียวกันกับ "แมวเก้าแต้ม" เนื่องจากมีลักษณะและลวดลายคล้ายกันมาก แต่ที่จริงแล้ว "แมวเก้าแต้ม" เป็นชื่อของแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
ลักษณะประจำพันธุ์
แมววิเชียรมาศ เป็นแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มอยู่ 9 จุดบนตัว ได้แก่ ที่ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหูทั้งสอง ปลายหาง บนจมูก และที่อวัยวะเพศ เมื่อตอนยังเล็กจุดจะไม่ใหญ่มาก ลำตัวเป็นสีครีม แต่จุดจะขยายใหญ่ขึ้นตามอายุจนมีสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด พันธุ์แท้จะต้องมีนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส
ขณะยังเป็นลูกแมวอายุน้อย สีขน0tออกสีครีมอ่อนๆ พอโตขึ้น สีจะเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาง) เป็นแมวพันธุ์แท้ตลอดกาล ไม่ว่าจะไปผสมกับแมวพันธุ์อะไรก็ตาม จะได้สีแต้มตามแบบ แต่รูปร่างไม่สง่างามเท่า และนิสัยต่างๆ จะไม่ตกทอดไปสู่ แมวลูกผสมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นสีสันต่างๆ จะเข้มขึ้นตามลำดับ ในต่างประเทศ ได้นำ แมววิเชียรมาศนี้ ไปผสมกับแมวไทยบางพันธุ์ ได้แมวที่มีแต้มสีอื่นๆอีกหลายสี เช่น แต้มสีเทา สีแดง ลายสีกลีบบัว
ตา : นัยน์ตาเป็นสีฟ้าเปล่งประกายสดใส ในตอนที่ยังเล็กๆ จะมีขนสีครีมอ่อนๆ แต่ พอโตขึ้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีลูกกวาง ขนาดก็พอๆกับแมวไทยโดยทั่วๆไป ดวง ตาสีฟ้าชัดเจนนั้นจะมีลักษณะเหมือนตุ๊กตาจีน คือเอียงเข้าหากันลงไปทางปลายจมูก
ขา : ช่วงขายางร่างระหง เท้าทั้ง 4 จะดูบอบบาง ด้านหลังจะยาวและยกสูงกว่าด้าน หน้าเล็กน้อย รูปเท้าจะเรียวแต่ฝ่าเท้าอวบ
หาง : หางยาวเรียวลักษณะคล้ายหางเสือ แต้มตรงหางจะมีสีเข้มจากปลายหาง และ เริ่มจางลงเมื่อขึ้นมาถึงโคนสะโพd
หัว : รูปศีรษะยาวได้สัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนที่อยู่ตรงแนวระดับตาจะเป็นส่วนที่กว้าง ที่สุดจึงมองดูแล้วโหนก และจะค่อยๆแคบลงมาจนถึงปลายปากหรือคาง
หู : ใบหูใหญ่ตั้งชัน ปลายใบหูจะค่อนข้างแหลม โคนหูกว้าง
ขน : ลำตัวมีสีนวลหรือสีครีม แต่จะเข้มขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ลักษณะของสีนั้นจะเข้ม ขึ้นตามอายุ เมื่ออายุยังน้อยๆสีก็จะเป็นสีครีมอ่อนๆ พออายุเริ่มมากขึ้นก็เข้มขึ้นเรื่อยๆจน ดูเป็นสีน้ำตาลทางใบหน้าจะเด่นมาก เพราะแต้มที่จุดอยู่ตรงปลายจมูกนั้นจะกว้างออกครอบ ทั่วบริเวณเหมือนกับสวมหน้ากากไว้ เส้นขนที่ปกคลุมมีลักษณะสั้น แต่เป็นเส้นละเอียดอ่อนนุ่ม และดกหนาแน่นมาก
ลักษณะที่เป็นข้อด้อยของพันธุ์
ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้ง 9 แห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่นๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) ของขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
อาหารและการเลี้ยงดู
ตอนกลางวันควรให้แมวอยู่อย่างอิสระในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ ตอนกลางคืนควรขังรวมกันไว้ในกรง กรงแมวต้องมีขนาดใหญ่ การเลี้ยงแมวในบ้าน แมวจะชอบขับถ่ายในที่ๆมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นจุดอับ หากต้องการให้แมวขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรเตรียมกระบะทรายหรือขี้เถ้าไว้ในบ้านด้วย สำหรับแมวตัวผู้ที่โตแล้ว จะขับถ่ายไม่เลือกที่ “วิถีแมวไทย” ในคอลัมน์นี้ท่านผู้อ่านจะได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแมวไทยในบ้านเรา ข้ามไปถึงความนิยม ความคาดหวังต่อแมวไทยจากมุมมอง ของชาวต่างชาติ ตลอดจนบันทึกประสบการณ์ของผู้เขียน ในระหว่างการก้าวเดินบนเส้นทางอันยาวไกลร่วมกับแมวไทย สายพันธุ์ “โคราช” ที่ผู้เขียนได้ลงมือพัฒนาสายพันธุ์ด้วย ตัวเอง และพยายามผลักดันให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล ขอเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมออกเดินไปด้วยกันได้ในคอลัมน์ “วิถีแมวไทย” เริ่มตั้งแต่ฉบับนี้เป็นต้นไปครับ
แมวไทยโด่งดังและมีชื่อเสียงทั่วโลก แต่จะมีบรรดาผู้ที่รักแมวสักกี่คนที่รู้ถึงความเป็นมา ว่าจุดเริ่มต้นแห่งชื่อเสียงของแมวไทยนั้นมาจากไหน เริ่มจากอะไร คอลัมน์วิถีแมวไทย ฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยการพาผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามา ร่วมย้อนกลับไปเรียนรู้อดีตไปกับเรา เพื่อไปสู่ปฐมบท แห่งจุดเริ่มต้นของแมวไทยอีกครั้งครับ
เมื่อไทยเสียกรุงให้แก่พม่า ทางพม่าก็ได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยศึก รวมทั่งปล้นสะดมทรัพย์สินของมีค่า สัตว์พาหนะ ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งรวมถึง แมว ก็ถูกกวาดต้อนกลับเมืองพม่ารามัญด้วย ในสมัยก่อนการเดินทาง ค่อนข้างยากลำบาก เสบียงค่อนข้างขาดแคลน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง สัตว์พาหนะที่นำติดตัวมาด้วยก็ถูกใช้เพื่อเป็นเสบียงในระหว่างทาง รวมถึงแมวไทยสายพันธุ์โบราณที่เดินทางร่วมกับขบวนนั้นด้วย อีกส่วนก็หลบหนี หายระหว่างการเดินทาง เป็นเหตุทำให้แมวไทยโบราณทั่ง 17 ชนิด หายสาบสูญไป
ครั้นพอมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการกลับมาเลี้ยงแมวในวังอีกครั้งหนึ่ง และแมวที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเป็นการส่วนพระองค์ก็คือ “แมวขาวมณี” ส่วน “แมววิเชียรมาส” ก็เป็นแมวหลวงสำหรับเฝ้าวัง และขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เลี้ยงกันได้
เรื่องการค้นพบสมุดข่อยนั้น สมเด็จพุฒาจารย์ (นวม) ท่านเป็นผู้ค้นพบ และท่านได้พบเห็นแมวในบริเวณนั้นมีลักษณะที่ดีต้องตามตำรา จึงสั่งให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันล้อมจับไว้ แล้วนำไปเลี้ยงไว้ที่วัดอนงคารามวรวิหารซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็นำแมวที่นี่ไปมอบให้แก่กงศุลจากประเทศต่างๆ
ส่วนที่มาของแมวทั่วๆ ไปที่สีสันไม่ต้องตามตำราก็คือ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง บ้านเมืองฟื้นฟู แมวที่ต้องตามตำราสมุดข่อยโบราณนั้นมีค่าแสนตำลึงทองชาวบ้านจึงจับแมวป่า บ้างก็นำแมวที่ติดมากับเรือสำเภาจีน ซึ่งพ่อค้าชาวจีนนำมาใช้งานจับหนูบนเรือระหว่างการเดินทางนำไปขายในวัง เห็นไม่ต้องตามตำราก็ไล่กลับไป เมื่อนั้นแมวที่นำมาไม่มีค่าอะไร บรรดาชาวบ้านก็ปล่อยทิ้งให้สืบลูกสืบหลาน จนมาถึงปัจจุบัน
การ พัฒนาแมวไทย จะต้องเริ่มจากการพัฒนาระบบการเลี้ยงให้ดีขึ้น เลือกเฟ้นอาหารคุณภาพเกรดดี มีการทำวัคซีน สร้างมาตรฐานการส่งมอบ แมวสู่ลูกค้า การให้คำแนะนำอย่างจริงใจ ให้ความสำคัญกับการบันทึก ประวัติแมวเพื่อพัฒนาสู่เพ็ดดิกรีในระดับสากล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการพื้นฐานที่ทุกฟาร์มควรทำ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าชาวต่างประเทศยอมรับ
เมื่อเราทำได้อย่างนี้ก็ เท่ากับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแมวของเรา ทำให้แมวของเราเป็นที่ต้องการมากขึ้น ส่งผลทำให้เราได้ราคาที่ดีมากขึ้น และเมื่อวันหนึ่งที่ชาวโลกต้องการแมวของเรามากขึ้น เมื่อนั้นคนไทยก็จะเข้าใจในคุณค่าของแมวไทยของดีแบบไทยๆ ที่เรามีมากขึ้น เชื่อเถอะครับว่า บรีดเดอร์และผู้ที่นิยมแมวไทยในต่างประเทศนั้นอยากได้แมวไทย จากมือคนไทย ถ้าแมวของเรามีมาตรฐานที่ดีพอ
ฉบับนี้ผมอาจจะกล่าวถึงเรื่องราว เกี่ยวกับแมวน้อยไปนิดนะครับ อย่างไรฉบับหน้าเราจะล้วงลึกถึงประเด็นที่ว่าทำอย่างไรแมวไทยจึงจะได้รับการ ยอมรับในระดับสากล ทำอย่างไรให้แมวไทยไปถึง CFA ได้ และที่ผมอยากฝากไว้สุดท้ายในฉบับนี้ คือ แมวไทยคือสิ่งสวยงามของชาติไทย ที่ชาติอื่นไม่มี เราควรจะรักษาไว้อย่าปล่อยให้หายไป สิ่งนี้คือรากเหง้าของเรา เปรียบดั่งต้นไม้แห่งชีวิต ที่สร้างรากฐานมายาวนาน ดูแลมันไว้เถิดอย่าให้มันหายไปเลย สวัสดีครับ
ก้าวแรกของการพัฒนาแมวเปอร์เซีย หิมาลายัน นี้คือการผสมระหว่างแมวพันธุ์ไทยวิเชียรมาศกับแมวพันธุ์เปอร์เซีย ซึ่งต่อมาก็มีการขยายพันธุ์ลูกหลานเรื่อยๆเพื่อที่จะสร้างกลุ่มของแมวที่มี ขนยาวและมีลวดลายแบบ colorpoint-persian ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ถูกขยายพันธุ์กลับไปยังเปอร์เซียและทายาทของมันก็ถูกผสม ข้ามพันธุ์ หลายปีต่อมานักผสมพันธุ์ก็มีแมวที่มีลักษณะเฉพาะของแมวเปอร์เซียและมีสีแบบ colorpoint หลากสี เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก้าวต่อไปก็เริ่มขึ้นโดยมีการยอมรับสายพันธุ์แมวนี้จาก องค์กรจดทะเบียน
ในประเทศอังกฤษ นาย Brian Sterling-Webb ได้พัฒนาให้แมวขนยาว colorpoint ของเขามีความสมบูรณ์เรื่อยๆตลอดช่วงเวลา 10 ปี โดยในปี 1955 เขาติดต่อกับ Governing Council of the Cat Fancy (GCCF) และขอให้มีการยอมรับแมวขนยาวสายพันธุ์ใหม่นี้ ด้วยการที่เขาและนักขยายพันธุ์คนอื่นๆ ได้เตรียมพร้อมสำหรับการอธิบายและปกป้องงานที่เขาได้ทำการพัฒนาสีใหม่นี้ ขึ้นมา ทำให้แมวขนยาว colorpoint นี้ได้รับการอนุมัติข้อเสนอและถูกยอมรับเป็นสายพันธุ์หนึ่งในประเทศอังกฤษ
ในอเมริกาเหนือ นาง Goforth ได้ทำการเสนอให้มีการยอมรับสายพันธุ์นี้ในระหว่างการประชุมประจำปีของ CFA ใน Washington , DC เมื่อ 18 ธันวาคม 1957 โดยนาง Goforth ได้คัดค้านว่าถึงแม้ว่าลักษณะทั่วไปของแมวหิมาลายันนี้จะบ่งชี้ถึงลักษณะของ แมวเปอร์เซีย แต่มันก็ไม่ใช่แมวเปอร์เซียโดยแท้ มันเป็นแมวขนยาวที่ถูกผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยแนวคิดนี้ ทำให้แมวเหล่านี้ได้รับการยอมรับและถูกจดทะเบียนขึ้นมาโดย CFA ซึ่งในขณะนั้นมีกฎในการยอมรับสายพันธุ์ใหม่ โดยที่ผู้ขยายพันธุ์ต้องแสดงให้เห็นถึงการขยายพันธุ์ของแมวหิมาลายัน นี้ 3 ช่วงยุค(Generation) เพื่อที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการแช่งขันระดับ championship
ในทุกวันนี้ แมวหิมาลายันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของแมวหิมาลายันนั้นไม่ตรงตามมาตรฐานของสายพันธุ์ ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของแมวเปอร์เซีย นักขยายพันธุ์หลายๆ คนได้หยุดการผสมพันธุ์กับแมวเปอร์เซียนสีล้วน แต่กลับผสมพันธุ์แมว colorpoint กับแมว colorpoint กันเอง และส่งผลให้การพัฒนาแมวหิมาลายันนั้นมีลักษณะไม่ค่อยตรงกับมาตรฐานของสาย พันธุ์เปอร์เซียและในหลายกรณีที่แมวหิมาลายัน กลายมาเป็นแมวขนยาว colorpoint ที่มีจมูกยาวแทน
ในช่วงปี 1970 ผู้เลี้ยงแมวหิมาลายันได้เริ่มที่จะประเมินถึงเป้าหมายที่พวกเค้ากำลัง พยายามจะทำให้สำเร็จ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากำลังเอาจริงเอาจังกับการพัฒนาสายพันธุ์แมวให้ เป็นพันธุ์เปอร์เซียที่ดีกว่าเดิม พวกเขาเริ่มที่จะผสมแมวเปอร์เซียข้ามสายพันธุ์โดยใช้หลักการตามปกติ และนำลูกหลานมาใช้ในการขยายพันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีแมวขนยาว colorpoint ที่มีลักษณะเปอร์เซียที่ดีกว่าปรากฏ แมวเหล่านี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซียมากยิ่งขึ้น และในที่สุดมันก็สามารถที่จะแข่งขันกับแมวเปอร์เซียเพื่อขิงรางวัลชนะเลิศ ตามที่ปรารถนา
ดังนั้นจึงมีคำถามต่อมาว่า ถ้าแมวสายพันธุ์นี้ดูเหมือนแมวเปอร์เซีย และเป็นที่สามารถแข่งขันกับแมวเปอร์เซีย แล้วทำไมพวกมันจึงต้องแข่งขันในฐานะสายพันธุ์อื่น หลายๆคนเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ของการที่เราจะจัดแมวหิมาลายันเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย อย่างไรก็ตามยังมีคนบางกลุ่มที่ยังชอบในลักษณะของแมวหิมาลายันเก่าๆและแมว ของเขาไม่สามารถที่จะแข่งขันกับแมวอื่นๆในเวทีการแสดงได้ โดยมีบางส่วนในนี้ที่เริ่มจะเบนหนีจากการพัฒนาให้เป็นมาตรฐานของแมวเปอร์ เซียซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานที่แมวหิมาลายันในยุคปี 60 เป็นแบบนั้น หากคุณชำเลืองแมวหิมาลายันในการแสดงโชว์แมวในปัจจุบันก็จะเห็นว่าเป้าหมาย ของพวกเขานั้นยังไม่สำเร็จเลย และในปี 1987 Persian Breed Council ได้มีการให้ลงคะแนนว่า “ควรหรือไม่ที่จะให้แมวหิมาลายันในปัจจุบันจัดเป็น Division หนึ่งของแมวเปอร์เซีย”
แมววิเชียรมาศ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ปากบนหางสี่เท้า โสตสอง
แปดแห่งดำดุจปอง กล่าวไว้
ศรีเนตรดั่งเรือนรอง นาคสวาดิ ไว้เอย
นามวิเชียรมาศไซร้ สอดพื้นขนขาว
"แมววิเชียรมาศ" เป็นแมวไทยชนิดแรกที่ชาวต่างชาติรู้จักและตั้งชื่อว่า "Siamese Cat" หรือ “แมวสยาม” เป็นแมวไทยต้นตระกูล ที่นำไปปรับปรุงพันธุ์ได้แมวไทยอีกหลายสายพันธุ์ แมววิเชียรมาศเป็นแมวไทยโบราณ ในสมุดข่อยยกย่องให้เป็นแมวให้ลาภ ใครเลี้ยงไว้จะได้เป็นขุนนาง ชื่อแมววิเชียรมาศ มีความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว"
ปัจจุบันคนไทย มักเข้าใจผิดเรียกว่า แมววิเชียรมาศ คือแมวชนิดเดียวกันกับ "แมวเก้าแต้ม" เนื่องจากมีลักษณะและลวดลายคล้ายกันมาก แต่ที่จริงแล้ว "แมวเก้าแต้ม" เป็นชื่อของแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
ลักษณะประจำพันธุ์
แมววิเชียรมาศ เป็นแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มอยู่ 9 จุดบนตัว ได้แก่ ที่ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหูทั้งสอง ปลายหาง บนจมูก และที่อวัยวะเพศ เมื่อตอนยังเล็กจุดจะไม่ใหญ่มาก ลำตัวเป็นสีครีม แต่จุดจะขยายใหญ่ขึ้นตามอายุจนมีสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด พันธุ์แท้จะต้องมีนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส
ขณะยังเป็นลูกแมวอายุน้อย สีขน0tออกสีครีมอ่อนๆ พอโตขึ้น สีจะเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาง) เป็นแมวพันธุ์แท้ตลอดกาล ไม่ว่าจะไปผสมกับแมวพันธุ์อะไรก็ตาม จะได้สีแต้มตามแบบ แต่รูปร่างไม่สง่างามเท่า และนิสัยต่างๆ จะไม่ตกทอดไปสู่ แมวลูกผสมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นสีสันต่างๆ จะเข้มขึ้นตามลำดับ ในต่างประเทศ ได้นำ แมววิเชียรมาศนี้ ไปผสมกับแมวไทยบางพันธุ์ ได้แมวที่มีแต้มสีอื่นๆอีกหลายสี เช่น แต้มสีเทา สีแดง ลายสีกลีบบัว
ตา : นัยน์ตาเป็นสีฟ้าเปล่งประกายสดใส ในตอนที่ยังเล็กๆ จะมีขนสีครีมอ่อนๆ แต่ พอโตขึ้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีลูกกวาง ขนาดก็พอๆกับแมวไทยโดยทั่วๆไป ดวง ตาสีฟ้าชัดเจนนั้นจะมีลักษณะเหมือนตุ๊กตาจีน คือเอียงเข้าหากันลงไปทางปลายจมูก
ขา : ช่วงขายางร่างระหง เท้าทั้ง 4 จะดูบอบบาง ด้านหลังจะยาวและยกสูงกว่าด้าน หน้าเล็กน้อย รูปเท้าจะเรียวแต่ฝ่าเท้าอวบ
หาง : หางยาวเรียวลักษณะคล้ายหางเสือ แต้มตรงหางจะมีสีเข้มจากปลายหาง และ เริ่มจางลงเมื่อขึ้นมาถึงโคนสะโพd
หัว : รูปศีรษะยาวได้สัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนที่อยู่ตรงแนวระดับตาจะเป็นส่วนที่กว้าง ที่สุดจึงมองดูแล้วโหนก และจะค่อยๆแคบลงมาจนถึงปลายปากหรือคาง
หู : ใบหูใหญ่ตั้งชัน ปลายใบหูจะค่อนข้างแหลม โคนหูกว้าง
ขน : ลำตัวมีสีนวลหรือสีครีม แต่จะเข้มขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ลักษณะของสีนั้นจะเข้ม ขึ้นตามอายุ เมื่ออายุยังน้อยๆสีก็จะเป็นสีครีมอ่อนๆ พออายุเริ่มมากขึ้นก็เข้มขึ้นเรื่อยๆจน ดูเป็นสีน้ำตาลทางใบหน้าจะเด่นมาก เพราะแต้มที่จุดอยู่ตรงปลายจมูกนั้นจะกว้างออกครอบ ทั่วบริเวณเหมือนกับสวมหน้ากากไว้ เส้นขนที่ปกคลุมมีลักษณะสั้น แต่เป็นเส้นละเอียดอ่อนนุ่ม และดกหนาแน่นมาก
ลักษณะที่เป็นข้อด้อยของพันธุ์
ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้ง 9 แห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่นๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) ของขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
อาหารและการเลี้ยงดู
ตอนกลางวันควรให้แมวอยู่อย่างอิสระในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ ตอนกลางคืนควรขังรวมกันไว้ในกรง กรงแมวต้องมีขนาดใหญ่ การเลี้ยงแมวในบ้าน แมวจะชอบขับถ่ายในที่ๆมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นจุดอับ หากต้องการให้แมวขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรเตรียมกระบะทรายหรือขี้เถ้าไว้ในบ้านด้วย สำหรับแมวตัวผู้ที่โตแล้ว จะขับถ่ายไม่เลือกที่ “วิถีแมวไทย” ในคอลัมน์นี้ท่านผู้อ่านจะได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแมวไทยในบ้านเรา ข้ามไปถึงความนิยม ความคาดหวังต่อแมวไทยจากมุมมอง ของชาวต่างชาติ ตลอดจนบันทึกประสบการณ์ของผู้เขียน ในระหว่างการก้าวเดินบนเส้นทางอันยาวไกลร่วมกับแมวไทย สายพันธุ์ “โคราช” ที่ผู้เขียนได้ลงมือพัฒนาสายพันธุ์ด้วย ตัวเอง และพยายามผลักดันให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล ขอเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมออกเดินไปด้วยกันได้ในคอลัมน์ “วิถีแมวไทย” เริ่มตั้งแต่ฉบับนี้เป็นต้นไปครับ
แมวไทยโด่งดังและมีชื่อเสียงทั่วโลก แต่จะมีบรรดาผู้ที่รักแมวสักกี่คนที่รู้ถึงความเป็นมา ว่าจุดเริ่มต้นแห่งชื่อเสียงของแมวไทยนั้นมาจากไหน เริ่มจากอะไร คอลัมน์วิถีแมวไทย ฉบับนี้ขอเริ่มต้นด้วยการพาผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามา ร่วมย้อนกลับไปเรียนรู้อดีตไปกับเรา เพื่อไปสู่ปฐมบท แห่งจุดเริ่มต้นของแมวไทยอีกครั้งครับ
ประวัติแมวไทย
มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ “มัมมี่แมว” ของประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอายุมากกว่า 2,000 ปี แต่ไม่มีชาติใดๆ ที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลย นอกจากประเทศไทยนั่นก็คือ “ตำราสมุดข่อย ทิ้ง 23 เล่ม” เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแมวไทย ทุกสายพันธุ์ ซึ่งมีอายุมากถึง 700 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนกระทั่ง สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ไทยรบกับพม่าแล้วเสียกรุงทั้งสองครั้งเมื่อไทยเสียกรุงให้แก่พม่า ทางพม่าก็ได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยศึก รวมทั่งปล้นสะดมทรัพย์สินของมีค่า สัตว์พาหนะ ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งรวมถึง แมว ก็ถูกกวาดต้อนกลับเมืองพม่ารามัญด้วย ในสมัยก่อนการเดินทาง ค่อนข้างยากลำบาก เสบียงค่อนข้างขาดแคลน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง สัตว์พาหนะที่นำติดตัวมาด้วยก็ถูกใช้เพื่อเป็นเสบียงในระหว่างทาง รวมถึงแมวไทยสายพันธุ์โบราณที่เดินทางร่วมกับขบวนนั้นด้วย อีกส่วนก็หลบหนี หายระหว่างการเดินทาง เป็นเหตุทำให้แมวไทยโบราณทั่ง 17 ชนิด หายสาบสูญไป
ครั้นพอมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มีการกลับมาเลี้ยงแมวในวังอีกครั้งหนึ่ง และแมวที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเป็นการส่วนพระองค์ก็คือ “แมวขาวมณี” ส่วน “แมววิเชียรมาส” ก็เป็นแมวหลวงสำหรับเฝ้าวัง และขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เลี้ยงกันได้
เรื่องการค้นพบสมุดข่อยนั้น สมเด็จพุฒาจารย์ (นวม) ท่านเป็นผู้ค้นพบ และท่านได้พบเห็นแมวในบริเวณนั้นมีลักษณะที่ดีต้องตามตำรา จึงสั่งให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันล้อมจับไว้ แล้วนำไปเลี้ยงไว้ที่วัดอนงคารามวรวิหารซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็นำแมวที่นี่ไปมอบให้แก่กงศุลจากประเทศต่างๆ
ส่วนที่มาของแมวทั่วๆ ไปที่สีสันไม่ต้องตามตำราก็คือ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง บ้านเมืองฟื้นฟู แมวที่ต้องตามตำราสมุดข่อยโบราณนั้นมีค่าแสนตำลึงทองชาวบ้านจึงจับแมวป่า บ้างก็นำแมวที่ติดมากับเรือสำเภาจีน ซึ่งพ่อค้าชาวจีนนำมาใช้งานจับหนูบนเรือระหว่างการเดินทางนำไปขายในวัง เห็นไม่ต้องตามตำราก็ไล่กลับไป เมื่อนั้นแมวที่นำมาไม่มีค่าอะไร บรรดาชาวบ้านก็ปล่อยทิ้งให้สืบลูกสืบหลาน จนมาถึงปัจจุบัน
การ พัฒนาแมวไทย จะต้องเริ่มจากการพัฒนาระบบการเลี้ยงให้ดีขึ้น เลือกเฟ้นอาหารคุณภาพเกรดดี มีการทำวัคซีน สร้างมาตรฐานการส่งมอบ แมวสู่ลูกค้า การให้คำแนะนำอย่างจริงใจ ให้ความสำคัญกับการบันทึก ประวัติแมวเพื่อพัฒนาสู่เพ็ดดิกรีในระดับสากล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการพื้นฐานที่ทุกฟาร์มควรทำ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าชาวต่างประเทศยอมรับ
เมื่อเราทำได้อย่างนี้ก็ เท่ากับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแมวของเรา ทำให้แมวของเราเป็นที่ต้องการมากขึ้น ส่งผลทำให้เราได้ราคาที่ดีมากขึ้น และเมื่อวันหนึ่งที่ชาวโลกต้องการแมวของเรามากขึ้น เมื่อนั้นคนไทยก็จะเข้าใจในคุณค่าของแมวไทยของดีแบบไทยๆ ที่เรามีมากขึ้น เชื่อเถอะครับว่า บรีดเดอร์และผู้ที่นิยมแมวไทยในต่างประเทศนั้นอยากได้แมวไทย จากมือคนไทย ถ้าแมวของเรามีมาตรฐานที่ดีพอ
ฉบับนี้ผมอาจจะกล่าวถึงเรื่องราว เกี่ยวกับแมวน้อยไปนิดนะครับ อย่างไรฉบับหน้าเราจะล้วงลึกถึงประเด็นที่ว่าทำอย่างไรแมวไทยจึงจะได้รับการ ยอมรับในระดับสากล ทำอย่างไรให้แมวไทยไปถึง CFA ได้ และที่ผมอยากฝากไว้สุดท้ายในฉบับนี้ คือ แมวไทยคือสิ่งสวยงามของชาติไทย ที่ชาติอื่นไม่มี เราควรจะรักษาไว้อย่าปล่อยให้หายไป สิ่งนี้คือรากเหง้าของเรา เปรียบดั่งต้นไม้แห่งชีวิต ที่สร้างรากฐานมายาวนาน ดูแลมันไว้เถิดอย่าให้มันหายไปเลย สวัสดีครับ